Search for:
  • Home/
  • Games News/
  • เจาะลึก Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 นักลงทุน โอกาสหรือกับดัก-

เจาะลึก Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 นักลงทุน โอกาสหรือกับดัก-

Bitcoin Halving ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติในโลกของบิทคอยน์ ซึ่งต้องดูว่าจะมีผลกระทบในเชิงราคาจจากเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ และมากน้อยขนาดไหนและมีโอกาสจะเห็นตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัวแบบ Cycle ก่อน ๆ ได้หรือไม่

ในบทวิเคราะห์ ทีม Cryptomind Research บอกว่าBitcoin Halving จะเกิดขึ้นทุก ๆ ประมาณ 4 ปี ซึ่งหากนับตั้งแต่ที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาได้เกิด Bitcoin Halving มาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง

ครั้งที่ 1 : เกิดขึ้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2012 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 50 BTC เป็น 25 BTC ครั้งที่ 2 : เกิดขึ้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2016 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 25 BTC เป็น 12.5 BTC ครั้งที่ 3 : เกิดขึ้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2020 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 12.5 BTC เป็น 6.25 BTC และครั้งที่ที่ 4 ที่ Block Subsidy จะลดลงจาก 6.25 BTC เป็น 3.125 BTC

โดยหากนำตัวเลขทั้งหมดข้างต้นมาคำนวณแล้วนำมาสร้างกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Block Subsidy (เส้นสีแดง) และ จำนวน Bitcoin ในระบบ (BTC Circulating Supply) เทียบกับเวลา จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกปริมาณ Bitcoin ที่เพิ่มเข้ามาในระบบนั้นสูงมากแต่ก็จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเกิด Bitcoin Halving

ถ้าคำนวณไปเรื่อย ๆ ตาม Code จน Invalid ก็จะทำให้ Bitcoin ไม่สามารถถูกผลิตเพิ่มขึ้นมาได้อีก ซึ่งตัวเลขสุดท้ายที่ได้เมื่อ Code ถูกรันไปจนสุดแล้วก็คือประมาณ 21,000,000 คำพูดจาก เว็บสล็อตแมชชีนแท้

จึงเป็นที่มาของที่ว่าทำไม Bitcoin ไม่สามารถมีปริมาณเกิน 21,000,000 BTC ได้ และที่สำคัญระยะเวลากว่า BTC จะถูกขุดครบก็คือปี 2140 หรืออีกประมาณ 116 ปีข้างหน้า และขณะนี้จำนวน Bitcoin ได้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนกว่า 19,685,375 BTC หรือคิดเป็นประมาณ 93.7% เรียบร้อยแล้วคำพูดจาก Slots777

และเมื่อเกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ที่ Block Subsidy จะลดลงเหลือ 3.125 BTC จะทำให้สามารถคำนวณได้ว่าในระยะเวลาประมาณ 4 ปีก่อนเกิด Bitcoin Halving ครั้งถัดไปจะมี Bitcoin ถูกผลิตออกมาใหม่อีกประมาณ 657,000 BTC หรืออีกประมาณ 3.13% เท่านั้น (ปีละ 0.7825% ของ Max Supply)

วิเคราะห์ภาวะตลาดหลังการเกิด Bitcoin Halving

ทีม Cryptomind Research มองว่า ความเข้าใจและความต้องการใน Bitcoin เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นจากการเติบโตมาตลอด 15 ปีที่มูลค่าตลาดสูงขึ้นมาตลอด

ด้วยเหตุนี้เองการที่จำนวน ของ Bitcoin อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคงที่แล้วแต่ความต้องการในเชิงมูลค่ากลับมากขึ้นตามในสัดส่วนที่สัมพันธ์กันก็จะสามารถทำให้ราคาค่อย ๆ ขยับขึ้นได้อยู่ดี แต่ต้องใช้เวลาและปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยใน Cycle นี้มีปัจจัยบวกหลายอย่างที่ส่งเสริมดังนี้

Bitcoin Spot ETF เป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้ความต้องการมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เหมือนเป็นสะพานเชื่อมเม็ดเงินในตลาด Traditional ให้เข้าถึง Exposure ใน Bitcoin ได้สะดวกและง่ายมากขึ้น เพราะง่ายต่อการทำบัญชี ทำภาษี มากกว่าการถือ Bitcoin เองโดยตรง

โดยถ้าลองประเมินเม็ดเงินที่จะเข้ามาแล้ว ตลาด Global Equity ตลาดพันธบัตร ตลาดทองคำ รวมกันแล้วก็เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่นักลงทุนหรือกองทุนจะ Allocate เงินทุนส่วนหนึ่งเพียงเล็กน้อยแค่ 1% เข้ามาใน Bitcoin ก็มากกว่า Market Cap ของ Bitcoin ปัจจุบันแล้ว ซึ่งถ้ามีเม็ดเงินไหลเข้ามามากกว่าที่คาดก็อาจทำให้ Cycle นี้ใหญ่กว่าที่หลายคนคิด

แม้ว่า Bitcoin จะมี Circulating Supply กว่า 94% แล้วแต่จากข้อมูลของทาง Coinglass ที่รวม Bitcoin ที่มีให้ซื้อขายใน Exchange ต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นเหลือแค่ 1.73M BTC หรือ 8.8% ของ Circulating Supply เท่านั้น ซึ่งถ้า Demand ทะลักเข้ามาสู่ Bitcoin ก็จะทำให้มีโอกาสเกิด Supply Shock และทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้

อัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin ต่อวันหลัง Halving ครั้งที่ 4 จะอยู่ที่ประมาณ 450 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดว่า Miner บางส่วนจะไม่ได้นำมาเทขายทั้งหมด ทำให้แรงเทขายต่อวันจาก Miner อาจน้อยกว่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับปริมาณเงินไหล Bitcoin เข้าผ่าน Bitcoin ETF ในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมาก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วรวมมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเฉลี่ยแล้วเป็นมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งมากพอที่จะซับแรงขายได้สบาย

ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐยังไม่ผ่อนคลาย แถมยังมีเรื่องสงครามและความไม่สงบต่าง ๆ เข้ามาประกอบกันด้วย ซึ่งถ้าทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและผ่อนคลายมากขึ้น ตลาดเริ่มกลับมาเปิดความเสี่ยง (Risk On) มากกว่านี้ ทางทีม Cryptomind Research คาดว่าจะได้เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาที่ Bitcoin ได้อีกมากไม่ว่าจะผ่าน Spot ETF หรือเข้าผ่าน Centralized Exchange โดยตรงและทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่ในระยะสั้นอาจมีการปรับตัวลงได้เนื่องจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ดังกล่าวและที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาราคาของ Bitcoin ก็ขึ้นมาเยอะพอสมควรแล้ว ถ้าจะมีการปรับฐานบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ที่มา :บียอนด์ โซลูชันส์

ภาพ : Freepik / rachenzero